
วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน อาจเรียกอีกชื่อว่ากลุ่มเรตินอยด์ ที่รวมถึง เรตินอล กรดเรติโนอิก และเรตินิลเอสเตอร์
วิตามินเอจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งดวงตา ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน พบได้ในอาหารหลายชนิด รวมทั้งผลไม้ ผัก และปลา แคโรทีนอยด์เป็นกลุ่มของสารเคมีที่พบในพืช สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายได้
คนส่วนใหญ่ใช้วิตามินเอเพื่อรักษาภาวะขาดวิตามินเอ นอกจากนี้ยังใช้กับผิวที่แก่ก่อนวัย สิว ต้อกระจก ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เสริมพัฒนาการของเด็ก การติดเชื้อ และอาการอื่นๆ อีกมากมาย
สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ
โปรวิตามินเอ แคโรทีนอยด์ เช่น เบต้าแคโรทีน อัลฟาแคโรทีน และเบต้าคริปโตแซนธิน เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
แคโรทีนอยด์ปกป้องร่างกายของเราจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่สามารถทำปฏิกิริยาได้สูงที่สามารถทำร้ายร่างกายของเราได้โดยทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียด (Oxidative stress) ซึ่งความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันนี้เชื่อมโยงกับภาวะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง โรคหัวใจ และความจำที่ลดลง
อาหารที่มีแคโรทีนอยด์สูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เหล่านี้ที่ลดลง
จำเป็นสำหรับสุขภาพดวงตาและป้องกันโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็นและสุขภาพตา
การบริโภควิตามินเออย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันโรคตาบางชนิด เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-related macular degeneration, AMD)
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับเบต้าแคโรทีน อัลฟาแคโรทีน และเบต้าคริปโตแซนธิน ที่สูงขึ้นอาจลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ได้ถึง 25% ซึ่งพบว่าแคโรทีนอยด์มีความสัมพันธ์กับการช่วยลดระดับความเครียดของร่างกาย
อาจป้องกันมะเร็งบางชนิด
เนื่องจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ผักและผลไม้ที่อุดมด้วยแคโรทีนอยด์อาจป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
ตัวอย่างเช่น การศึกษาในผู้ใหญ่มากกว่า 10,000 คนพบว่าผู้สูบบุหรี่ที่มีระดับอัลฟ่าแคโรทีนและเบต้าคริปโตแซนธินในเลือดสูง มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดต่ำกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 46% และ 61% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับผู้ไม่สูบบุหรี่ที่มีระดับสารอาหารเหล่านี้น้อยกว่า
นอกจากนี้ การศึกษาในหลอดทดลองยังแสดงให้เห็นว่าเรตินอยด์อาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เต้านม และรังไข่
มีความสำคัญต่อการเจริญพันธุ์และพัฒนาการของทารกในครรภ์
วิตามินเอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญพันธุ์ของทั้งชายและหญิงเพราะมีบทบาทในการพัฒนาตัวอสุจิและไข่
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อสุขภาพของรก การพัฒนาและบำรุงรักษาเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์ และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ดังนั้น วิตามินเอจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกที่กำลังพัฒนา รวมทั้งผู้ที่พยายามตั้งครรภ์
ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
วิตามินเอส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการตอบสนองต่างๆ ของร่างกายที่ปกป้องร่างกายจากความเจ็บป่วยและการติดเชื้อ
วิตามินเอมีส่วนในการสร้างเซลล์บางชนิด รวมทั้งทีเซลล์และบีเซลล์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ป้องกันโรค
การขาดวิตามินเอนำไปสู่การเพิ่มระดับของโมเลกุลที่ทำให้เกิดการอักเสบ ที่ทำให้ร่างกายลดการตอบสนองและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

การขาดวิตามินเอ
การขาดวิตามินเอปริมาณมากสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่รุนแรงได้
การขาดวิตามินเอเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดที่ป้องกันได้ การขาดวิตามินเอยังเพิ่มความรุนแรงและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ เช่น โรคหัดและท้องร่วง นอกจากนี้ การวิจัยพบว่าการขาดวิตามินเอเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางและการเสียชีวิตในสตรีมีครรภ์ และส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์โดยการชะลอการเจริญเติบโต
การขาดวิตามินเอไม่มาก อาจมีอาการรุนแรงน้อยกว่า ได้แก่ ปัญหาผิว และสิว
กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ผู้ที่เป็นโรคซิสติก ไฟโบรซิส และผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรในประเทศกำลังพัฒนา มีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินเอมากกว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว
แหล่งของวิตามินเอ
อาหารที่มีวิตามินเอ
มีแหล่งอาหารมากมายที่มีทั้งวิตามินเอและโปรวิตามินเอแคโรทีนอยด์
การที่ร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้าแคโรทีน ให้กลายเป็นวิตามินเอที่ออกฤทธิ์ได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม อาหาร สุขภาพโดยรวม และยารักษาโรค
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่กินอาหารจากพืช โดยเฉพาะมังสวิรัติ ควรใส่ใจในการให้กินอาหารที่มีแคโรทีนอยด์ให้เพียงพอ
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่: ไข่แดง ตับ เนย น้ำมันตับปลา มะละกอ แครอท กะหล่ำปลี มันฝรั่งหวาน ฟักทอง ผักคะน้า ผักโขม พริกแดง เป็นต้น

ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวัน
ปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเพื่อป้องกันการขาดวิตามินเอ
ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินเอ 600 ไมโครกรัมของ Retinol ต่อวัน และ 700 ไมโครกรัมของ Retinol ต่อวัน ตามลำดับ และไม่ควรเกิน 3000 ไมโครกรัมของ Retinol ต่อวัน (0.3 ไมโครกรัมของ Retinol = 1 IU ของ Retinol)
หากร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้เกิดพิษต่อร่างกายได้ การเสริมวิตามินเอ มักเสริมในผู้ที่ขาด
การกินวิตามินเอเสริม
ในภาวะปกติไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินเอ
โดยปกติแล้วการเสริมวิตามินเอ มักเสริมให้กับผู้ที่กินอาหารไม่เพียงพอ หรือจำกัดการกินอาหาร หรือมีภาวะที่ต้องการวิตามินเอเพิ่มขึ้น เช่น โรคตา โรคหัด ผิวเกิดริ้วรอย สิว ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ต้อกระจก เสริมพัฒนาการเด็ก การติดเชื้อ และภาวะอื่น ๆ
อาหารที่ดีต่อสุขภาพและหลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินเอเพียงพอ หากต้องการวิตามินเอเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ การเสริมวิตามินเอนั้นอาจไม่ให้ประโยชน์เหมือนกับสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากอาหารที่มีวิตามินเอสูง

พิษจากวิตามินเอ
การกินวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้
เนื่องจากวิตามินเอละลายในไขมัน ร่างกายจึงเก็บสะสมปริมาณส่วนเกินไว้ที่ตับ ทำให้สะสมในร่างกายได้
การรับประทานวิตามินเอเสริมมากกว่า 10,000 ไมโครกรัมต่อวันในระยะยาวอาจทำให้เกิด:
– กระดูกบาง
– ตับถูกทำลาย
– ปวดศีรษะ
– ท้องเสีย
– คลื่นไส้
– ผิวหนังระคายเคือง
– ปวดข้อและกระดูก
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเสริมวิตามินเอ การใช้วิตามินเอมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์มีความเชื่อมโยงกับความพิการแต่กำเนิดของทารก
Personalized Vitamin
วิตามินเฉพาะบุคคล
เหมาจ่าย
2,800 บาท/เดือน
2 Check แพคเกจ
เช็คความเสื่อมและตรวจวิตามินดี
2,100 บาท
Basic Nutrient (Blood Vitamin Test)
แพคเกจตรวจ
วิตามินและแร่ธาตุพื้นฐาน
ด้วยวิธีการตรวจเลือด
5,490 บาท
Ref.