
สารบัญบทความ
น้ำตาลในเลือดสูงเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
ปัจจุบันพบว่ามีคนจำนวนมากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนเหล่านี้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าปกติ แต่ไม่ถึงกับสูงในระดับที่เป็นโรคเบาหวาน ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งถ้าหากทราบและสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้ทันท่วงที ก็จะสามารถป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้
ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน จะทำให้เส้นประสาท หลอดเลือด เนื้อเยื่อ และอวัยวะบางอย่างในร่างกายอาจถูกทำลายได้ เมื่อหลอดเลือดเสียหายจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง และความเสียหายของเส้นประสาทอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อดวงตา ไต และบาดแผลที่รักษายากตามมา
น้ำตาลในเลือดเท่าไหร่ถึงสูง
เมื่อเราเจาะเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- ค่าปกติจะอยู่ระหว่าง 70-100
- ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 100 – 125 แสดงว่าอาจมีภาวะความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า 126 แสดงว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของน้ำตาลในเลือดสูง
ทำไมเราถึงมีน้ำตาลในเลือดสูง
อินซูลินเป็นฮอร์โมนในร่างกายของเราที่สร้างโดยตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการผลักให้น้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน หากเซลล์ในร่างกายของเราไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้ตามปกติ ตับอ่อนจะสร้างอินซูลินมากขึ้นเพื่อให้เซลล์ตอบสนองจนในที่สุดตับอ่อนก็จะไม่สามารถเพิ่มระดับอินซูลินได้อีก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นภาวะก่อนเป็นโรคเบาหวาน และจะพัฒนาเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต่อไป
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เรามีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงคือ:
- มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
- มีน้ำหนักเกินกว่าปกติ
- มีความดันโลหิตสูงหรือคอเลสเตอรอลสูง
- เป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
อาการของผู้ที่เป็นเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง
อาการของผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงมักเกิดขึ้นทีละน้อยและอาจเริ่มขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก
อาการทั่วไป ได้แก่ :
- รู้สึกกระหายน้ำมาก
- ปัสสาะวะมากและบ่อย
- รู้สึกเหนื่อย หรืออ่อนเพลีย
- มองเห็นภาพซ้อน
- น้ำหนักลด เป็นต้น
ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงนานๆ อาจพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
ซื้ออาหารเสริม Suto ซูโต เพื่อลดน้ำตาลในเลือดสูง ที่ไหน?

โรคเบาหวาน คือ
โรคเบาหวาน เกิดจากอะไร
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะสลายอาหารบางส่วนเป็นน้ำตาล (กลูโคส) และปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มันจะส่งสัญญาณให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมา ซึ่งอินซูลินทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้น้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน
โรคเบาหวาน เกิดจากร่างกายของเราผลิตอินซูลินไม่เพียงพอหรือไม่สามารถใช้งานได้ดีเท่าที่ควร เมื่อมีอินซูลินไม่เพียงพอหรือเซลล์หยุดการตอบสนองต่ออินซูลิน น้ำตาลในเลือดจะสูงอยู่เป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไป อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ เช่น โรคหัวใจ สูญเสียการมองเห็น โรคไต เป็นต้น”
โรคเบาหวาน มีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีสาเหตุจากอะไร
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
อาการของโรคเบาหวาน จะมีลักษณะคล้ายกับอาการของผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาการจะมากขึ้น หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
สัญญาณและอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดขึ้นช้า ผู้ป่วยอาจอยู่กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้นานหลายปีโดยไม่รู้ตัว อาการที่พบได้ ได้แก่
- กระหายน้ำมากขึ้น
- ปัสสาวะบ่อย
- หิวบ่อย
- น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
- มองเห็นภาพซ้อน
- แผลหายช้า
- ติดเชื้อบ่อย
- ชาตามมือและเท้า
เป็นต้น
อาการของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานมี 3 ชนิดหลักๆ คือ
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
และโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
เกิดจากร่างกายของเราไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะพบประมาณ 5-10% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด มักตรวจพบในเด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะต้องฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายทุกวัน และปัจจุบันโรคเบาหวานชนิดนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ไม่สามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะพบประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โดยการดำเนินของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักใช้เวลาหลายปี โดยมากมักได้รับการวินิจฉัยในผู้ใหญ่ (แต่ปัจจุบันพบมากขึ้นเรื่อยๆ ในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว) โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถป้องกันได้ด้วยการมีวิถีชีวิตที่ช่วยให้มีสุขภาพดี เช่น กินอาหารเพื่อสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับปกติ เป็นต้น
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ มีหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ขึ้นได้ เช่น ปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ ปัจจัยด้านอายุ สตรีที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปก็มีความเสี่ยงมากขึ้น เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญหลายอย่าง รวมถึงหัวใจและหลอดเลือด เส้นประสาท ดวงตา และไต นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนและโรคอื่นๆ ที่เป็นร่วมอยู่ได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวานที่พบบ่อย ได้แก่:
- โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และการตีบของหลอดเลือด (atherosclerosis)
- เส้นประสาทบริเวณแขนขาถูกทำลายเสียหาย หากมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปเส้นประสาทจะถูกทำลาย ส่งผลให้รู้สึกซ่า ชา แสบร้อน ปวด หรือสูญเสียความรู้สึกในที่สุด ซึ่งมักจะเริ่มต้นที่ปลายนิ้วเท้าหรือนิ้วมือ แล้วค่อยๆ ลามขึ้นไป นอกจากนี้ยังอาจพบความเสียหายต่อเส้นประสาทของหัวใจ ซึ่งสามารถนำไปสู่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความเสียหายของเส้นประสาทในระบบย่อยอาหารอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงหรือท้องผูก สำหรับผู้ชาย ความเสียหายของเส้นประสาทอาจทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศได้
- โรคไต โรคเบาหวานอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังหรือโรคไตระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ ซึ่งอาจต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตในที่สุด
- โรคตา โรคเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตาร้ายแรง เช่น ต้อกระจกและต้อหิน และอาจทำลายหลอดเลือดของเรตินา ซึ่งอาจนำไปสู่การตาบอดได้
- ปัญหาผิว โรคเบาหวานอาจทำให้ผิวหนังอ่อนแอ ส่งผลให้ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
- แผลหายช้า นอกจากนี้ บาดแผลและแผลพุพองที่ติดเชื้อรุนแรง หากรักษาไม่ดี อาจรุนแรงถึงต้องตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาได้
- ปัญหาทางการได้ยิน ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ พบมากในผู้ที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วย
- ภาวะสมองเสื่อม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และความผิดปกติอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดีนั้นเชื่อมโยงกับความจำและทักษะการคิดอื่นๆ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
โรคเบาหวาน วิธีรักษา
การรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ร่วมกับการับประทานยาลดน้ำตาลในเลือด การฉีดอินซูลิน หรือใช้ยาทั้งสองอย่าง
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น
รวมถึงการออกกำลังกาย และการลดน้ำหนักหากน้ำหนักเกินกว่าปกติ
การใช้ยา
หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังไม่ได้ผล ผู้ป่วยยังมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมาก แพทย์จะสั่งใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีทั้งในรูปแบบรับประทานและยาฉีดเข้าผิวหนัง
วิธีป้องกัน โรคเบาหวาน
ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงในระยะเริ่มต้น
การปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ แม้ว่าจะมีญาติทางสายเลือดที่เป็นโรคเบาหวานก็ตาม
หากได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจชะลอหรือหยุดการลุกลามไปสู่โรคเบาหวานได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี รวมถึง
- การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดอาหารที่มีรสหวานจากน้ำตาล เลือกอาหารที่มีไขมันและแคลอรีต่ำและมีใยอาหารสูง เน้นผลไม้ ผัก และธัญพืชไม่ขัดสี
- การป้องกันไม่ให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้
- ตั้งเป้าออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางถึงหนัก 150 นาทีขึ้นไปต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน วิ่ง หรือว่ายน้ำ
- ลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักทำให้การดำเนินโรคจากภาวะก่อนเป็นเบาหวานเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ช้าลง การลดน้ำหนัก 7% ถึง 10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
- หลีกเลี่ยงการนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน พยายามลุกขึ้นเดินทุก ๆ 30 นาทีและเคลื่อนไหวอย่างน้อยสองสามนาที เป็นต้น
1. https://my.clevelandclinic.org
2. https://www.cdc.gov
3. https://www.mayoclinic.org
4. https://www.vinmec.com