Q: แพคเกจ PRETEENS VACCINES ดีอย่างไร ทำไมถึงสำคัญสำหรับเด็กอายุช่วง 9 – 13 ปี
A: เด็กในวัยนี้ยังมีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และเพื่อเตรียมพร้อมการเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งเด็กวัยนี้ผู้ปกครองมักจะลืมและขาดการปรึกษาแพทย์เพื่อนัดรับวัคซีน
ข้อดีของการให้วัคซีนในช่วงอายุ 9 – 13 ปี คือ
– HPV Vaccine ให้ในช่วงวัยนี้จะได้รับการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า และฉีดแค่ 2 เข็ม
– Dtap Vaccine เด็กส่วนใหญ่จะได้รับ dose สุดท้ายช่วง 4-6 ขวบ แนะนำให้ฉีดกระตุ้นทุก 5-10 ปี
Q: ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง 9 ปี สามารถฉีดได้ไหมคะ
A: ตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยในเด็กที่ต่ำกว่า 9 ปี
Q: วัคซีน HPV ฉีดได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายใช่ไหมคะ อยากทราบข้อมูลว่าทำไมถึงควรฉีดค่ะ
A: ได้ทั้งเพศหญิงและชาย เนื่องจากเด็กกำลังเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อาจมีโอกาสสัมผัสเชื้อและก่อให้เกิดโรคติดเชื้อมาจากทางเพศสัมพันธ์ได้
Q: วัคซีนทั้ง 3 ตัว ฉีดพร้อมกันได้ไหมคะ หรือแนะนำให้ฉีดอย่างไร
A: แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและให้ความเห็นร่วมกับผู้ปกครอง
(กุมารแพทย์แนะนำให้ฉีดไม่เกิน 2 รายการ ต่อครั้ง)
Q: ต้องพบแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้งด้วยหรือไม่คะ
A: ควรพบแพทย์ก่อนรับวัคซีนทุกครั้ง เพื่อทำการประเมินภาวะสุขภาพร่วมด้วยเพื่อประเมินความเสี่ยง
Q: หากเคยฉีดตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เช่นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนปัองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก สามารถฉีดซ้ำอีกได้ไหมคะ หรือต้องทิ้งระยะห่างเท่าไหร่
A: วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ แนะนำให้ฉีดปีละ 1 ครั้ง
วัคซีนปัองกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก หากได้รับตามเกณท์ จะฉีดได้ช่วง 4-6 ปี และกระตุ้นทุก 5-10 ปี
Q: หากจำไม่ได้ว่าเฉยฉีดตัวไหนมาบ้าง ต้องทำอย่างไรคะ
A: สามารถปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อทำการประเมินเป็นครั้งไป
วัคซีน HPV
วัคซีน HPV คือวัคซีนอะไร มีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างไร ?
วัคซีน HPV ไม่ได้เป็นแค่เพียงวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก แต่ยังสามารถป้องกันมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หูดหงอนไก่ ซึ่งสามารถฉีดได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ตั้งแต่วัย 9 ปี เดิมวัคซีนป้องกัน HPV ในประเทศไทยมี แบบชนิด 2 สายพันธุ์และ 4 สายพันธุ์ แต่ ณ ปัจจุบัน วัคซีน HPV ได้การมีการพัฒนาถึง 9 สายพันธุ์ ที่สามารถครอบคลุมการติดเชื้อได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งอัตราการป้องกันหลังฉีดวัคซีนอยู่ที่ประมาณ 96-99 %
ไวรัส HPV สามารถติดต่อได้ทางไหนบ้าง ?
ไวรัส HPV ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ต่างเพศหรือเพศเดียวกัน และสามารถแพร่ผ่านรอยแผลหรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หากมีการสัมผัสผิวหนังหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ติดเชื้อ HPV แม้กระทั่งในช่วงที่ผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการก็ตาม
การนั่งห้องน้ำสาธารณะสามารถติดเชื้อHPVได้ด้วย จริงหรือไม่ ?
โอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส HPV จากการใช้ห้องน้ำสาธารณะเกิดขึ้นได้น้อยมาก เนื่องจากในกรณีที่ ผิวหนังของเราไม่มีบาดแผลหรือรอยถนอกใดๆ เชื้อ HPV ก็จะไม่สามารถเข้าไปในร่างกายเราได้
ทำไมผู้ปกครองจึงควรพาเด็กมาฉีดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ?
วัคซีน HPV เริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 9 ปี โดยช่วงอายุ 9-15 ปี จะฉีดเพียง 2 เข็มเท่านั้น เข็มแรกและเข็มที่สองห่างกัน 6 เดือน แต่ถ้าฉีดหลังอายุ 15 ปี จะต้องฉีดถึง 3 เข็ม โดยเข็มที่สองห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน และ เข็มที่สาม 6 เดือนนับจากเข็มแรก หรือโดยทั่วไปจะนับที่ 0,2,6 เดือน แต่การศึกษาพบว่าประสิทธิภาพจะดีที่สุดเมื่อเริ่มฉีดวัคซีนHPVเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี เนื่องจากร่างกายอยู่ในวัยที่สร้างภูมิคุ้มกันได้ดี และฉีดเพียง 2 เข็มเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพเทียบเท่า 3 เข็ม
หลังฉีดวัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวังอย่างไรบ้าง ?
หลังฉีดวัคซีนไปแล้ว บริเวณที่ฉีดวัคซีนอาจจะมีอาการปวด บวม แดง หรือมีไข้ต่ำๆได้ ผู้ปกครองสามารถให้ยาลดไข้ หรือใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดไข้ได้ด้วยเช่นกัน
วิธีเตรียมตัวก่อนการฉีดวัคซีนทำอย่างไรบ้าง ?
พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าไม่มีไข้ก็สามารถฉีดวัคซีนได้เลย และแนะนำหากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติแพ้ให้แจ้งแพทย์ก่อนฉีด
วัคซีน Influenza
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มีประสิทธิภาพป้องกันได้กี่% ?
ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี วัคซีนจะมีประสิทธิภาพป้องกันอยู่ที่ประมาณ 50-95 % ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของวัคซีนและสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนั้น จากการศึกษาในเด็ก 6 เดือน – 23 เดือน ประสิทธิภาพวัคซีนจะน้อยกว่าในเด็กโต
ทำไมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถึงต้องฉีดทุกปี ?
เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ ในการผลิตวัคซีนแต่ละปีจึงมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตามเชื้อไวรัสด้วย และเนื่องจากระยะก่อโรคสั้น จึงจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันให้สูงเพียงพอ เพื่อเตรียมพร้อมในการป้องกันโรค ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ก่อนฉีดวัคซีน แล้วปีนั้นจะต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่ ?
ภูมิคุ้มกันจากตัวโรคอยู่ได้ไม่นาน และไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่หลังหายป่วยแล้ว
วัคซีน DTaP
คือวัคซีนอะไร เหมาะกับเด็กวัยไหนบ้าง ?
วัคซีน DTP คือวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria) โรคบาดทะยัก (Telanus) และโรคไอกรน (Pertussis) ในเด็ก จะฉีดทั้งหมด 5 เข็ม คือตอนอายุ 2, 4, 6, 15 เดือน 4-6 ปี จากนั้นควรฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน
การทำงานและประสิทธิภาพของวัคซีน DTap เป็นอย่างไร ?
เมื่อฉีดครบจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักร้อยละ 95 และ 100 ตามลำดับ โดยจะพบภูมิคุ้มกันหลังฉีด 2 สัปดาห์ และอยู่นานเกิน 10 ปี
ถ้าเกิดฉีดวัคซีน DTaP ไปแล้ว หากมีอุบัติเหตุของมีคนบาด ต้องฉีดกระตุ้นอีกหรือไม่ และจำนวนกี่เข็ม ?
เบื้องต้นแพทย์จะประเมินจากบาดแผลและระยะเวลาที่เคยได้รับวัคซีนบาดทะยักครั้งล่าสุด
ผู้ป่วยทั่วไปหรือในเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปที่มีบาดแผล หากเคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาแล้ว 3 ครั้งหรือมากกว่า ถ้าเป็นกรณีที่มีบาดแผลเล็กน้อยและสะอาดให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก กระตุ้น 1 เข็ม แต่ถ้าได้รับการฉีดเข็มสุดท้ายไม่เกิน 10 ปี ก็ไม่ต้องฉีด ส่วนในกรณีที่เป็นบาดแผลอื่น ๆ เช่น บาดแผลที่แปดเปื้อนดินโคลน บาดแผลจากอาวุธ บาดแผลจากเศษแก้วในกองขยะ บาดแผลที่ถูกตำ หรือบาดแผลที่ลึกและแคบ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก กระตุ้น 1 เข็ม แต่ถ้าได้รับการฉีดเข็มสุดท้ายไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีด
ส่วนผู้ป่วยทั่วไปหรือในเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปที่มีบาดแผลและเคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักน้อยกว่า 3 ครั้ง หรือไม่ทราบประวัติการได้รับวัคซีนแน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลเล็กน้อยและสะอาดหรือบาดแผลอื่น ๆ ตามที่กล่าวมา ก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 1 เข็ม และต่อไปให้ฉีดซ้ำอีก 2 เข็มทุก 1 เดือน รวมเป็น 3 เข็ม